adsbygoogle

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559

กลยุทธ์การสั่งงานให้ได้ผล


กลยุทธ์การสั่งงานให้ได้ผล


   กลยุทธ์การสั่งงานให้ได้ผล          

การสั่งงานเป็นภาระหน้าที่ของผู้บริหารทุกระดับที่จะต้องเกี่ยวข้องกับการสั่งบุคลากรภายในองค์กรให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารจะต้องวิเคราะห์ข้อมูลของปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้ววินิจฉัยสั่งงานไปยังผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตนให้ทราบถึงแนวทางสำหรับการแก้ไขข้อบกพร่องในการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งผู้บริหารหรือหัวหน้างานนั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ต้องอาศัยผู้ใต้บังคับบัญชา ที่มีความรู้ ความสามารถมาช่วยปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายตามที่ตนได้วางแผนไว้ ในการสั่งงานและกระตุ้นให้คนทำงานด้วยความเต็มใจนั้น ผู้บริหารที่ดีจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับ ศิลปของการเป็นผู้นำ หลักมนุษยสัมพันธ์ พฤติกรรมของบุคคลในองค์กร และประการสุดท้ายคือต้องรู้หลักจิตวิทยาในการสั่งงาน จึงจะสามารถสั่งงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้การทำงานนั้นบรรลุตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้

การสั่งงาน คือการที่ผู้บริหารหรือหัวหน้างานมอบหมายงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำพร้อมทั้งแนะนำวิธีการปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร การสั่งงานนี้มีความหมายรวมทั้ง การขอร้องให้ปฏิบัติ  เป็นการสั่งที่ใช้คำพูดที่นุ่มนวล มักใช้คำพูดว่า ช่วย.... ในการสั่งให้ปฏิบัติ การขออาสาสมัครในการปฏิบัติ  เป็นการสั่งที่ผู้สั่งต้องมีความมั่นใจว่าจะต้องมีผู้อาสาทำงานให้ หรือรู้อยู่แล้วว่ามีผู้ที่สามารถทำงานนั้นได้ แต่ต้องการให้เกียรติเขา ให้เขารู้สึกภาคภูมิใจที่จะทำงานให้ และการออกคำสั่งแบบบังคับให้ปฏิบัติ  การสั่งแบบนี้ต้องการความเด็ดขาด ผู้กระทำตามคำสั่งอาจจะไม่มีความรู้ ความสามารถในการคิด เช่น การสั่งเพราะมีเวลาน้อย ต้องการความเร่งรีบ
         แต่บ่อยครั้งก็พบว่าผู้สั่งงานไม่สามารถที่จะสั่งผู้รับคำสั่งให้ทำงานได้สัมฤทธิ์ผลอย่างมีประสิทธิภาพ อันเนื่องมาจากปัญหาที่เกิดจากผู้สั่งงาน และผู้รับงานที่สำคัญดังแสดงในตารางที่ 1  

ตารางที่ 1 : แสดงปัญหาของผู้สั่งงาน และปัญหาของผู้รับงานที่สำคัญในองค์กร ธุรกิจ
ปัญหาของผู้สั่งงาน
ปัญหาของผู้รับคำสั่ง
-สั่งงานไม่ชัดเจน
-ใช้อำนาจในการสั่งโดยไม่คำนึงถึงความเป็นไปได้
-เปลี่ยนแปลงคำสั่งบ่อย
-ไม่รับผิดชอบเมื่อมีการปฏิบัติผิดเพราะคำสั่งผิด
-สั่งงานข้ามขั้นตอน
-ผู้สั่งงานไม่มีเวลาให้ซักถาม
-ใช้อารมณ์ในการสั่งงาน
-สั่งงานมากไปในขณะเดียวกัน
-สั่งงานซ้ำซากน่าเบื่อหน่าย
-สั่งงานแล้วลืมว่าตนเองเป็นคนสั่ง
-ผู้สั่งงานมีมากเกินไป
-ขาดการติดตามผลการสั่งงาน
-สั่งงานล่าช้าไม่ทันเหตุการณ์
-ไม่เข้าใจคำสั่ง ไม่กล้าซักถาม
-รับและถ่ายทอดคำสั่งไม่ชัดเจน
-ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง
-รับคำสั่งแล้วลืม
-ไม่มีความสามารถในการทำงานที่ถูกสั่งให้ทำ
-ไม่สามารถทำงานให้เสร็จทันเวลาตามกำหนด
-ไม่รายงานผลการปฏิบัติงานให้ผู้สั่งงานทราบ

ลักษณะของการสั่งงานที่ดี
จากปัญหาของการสั่งงานที่เกิดจากทั้งผู้สั่งงาน และผู้รับคำสั่งดังแสดงในตารางที่ 1 ดังนั้นลักษณะของการสั่งงานที่ดีจึงมีหลักอยู่ว่า ถ้าผู้รับคำสั่งเข้าใจตามคำสั่งถูกต้องและปฏิบัติตามคำสั่งด้วยความเต็มใจ งานที่สั่งไปนั้นก็จะสำเร็จลุล่วงด้วยดี  ลักษณะของคำสั่งที่ดีจึงต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1.     คำสั่งต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และต้องมีการปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยคำสั่งนั้นต้องเหมาะสมกับเหตุการณ์ปัจจุบัน ผู้รับคำสั่งจะเต็มใจปฏิบัติตามในกรณีที่เห็นว่าสมเหตุสมผล มิใช่สั่งตามอารมณ์
2.     งานที่สั่งต้องมีลักษณะที่เป็นไปได้ ถ้างานที่สั่งเป็นงานที่สุดวิสัยของผู้ใต้บังคับบัญชาที่จะทำได้ ย่อมไม่ได้รับความร่วมมือ ผู้สั่งงานจะต้องรู้ถึงความสามารถของผู้รับคำสั่ง ทรัพยากรต่างๆที่จะต้องใช้ และระยะเวลาที่กำหนดว่าพอเพียงหรือไม่
3.     คำสั่งต้องมีความสมบูรณ์  โดยที่เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชารับคำสั่งนั้นแล้ว ต้องมีความเข้าใจอย่างชัดเจนว่าผู้สั่งงานต้องการให้ทำอะไร
4.     คำสั่งต้องมีลักษณะชัดเจนและไม่คลุมเครือ การใช้ถ้อยคำในคำสั่งจะต้องระมัดระวังหลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำที่อาจแปลความหมายได้หลายแง่ ผู้ออกคำสั่งจะต้องระลึกอยู่เสมอว่าคำสั่งนั้นต้องให้ผู้รับคำสั่งเข้าใจด้วย มิใช่ว่าผู้ออกคำสั่งเข้าใจเพียงคนเดียวเท่านั้น
5.     ถ้อยคำที่ใช้ในคำสั่งควรใช้ถ้อยคำที่ชวนให้ผู้รับคำสั่งเต็มใจปฏิบัติตามคำสั่ง ลักษณะของคำสั่งต้องไม่แฝงการวางอำนาจของผู้บังคับบัญชา ต้องใช้วิธีออกคำสั่งในรูปแบบของการจูงใจ
6.     คำสั่งควรมีลักษณะเป็นการแนะนำ มากกว่าคำสั่งที่มีลักษณะแบบเผด็จการ
7.     การอธิบายเหตุผลประกอบการสั่งงาน มีส่วนช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ  เพราะการที่คนเราต้องทำอะไรตามคำสั่งคนอื่นโดยไม่ทราบว่าทำไปเพื่ออะไร หวังผลอะไรจากการทำงานนั้น เขาจะขาดความรู้สึกกระตือรือร้นในการทำงาน ฉะนั้นจึงเป็นการสมควรเป็นอย่างยิ่งที่ผู้สั่งงานต้องอธิบายเหตุผลที่ต้องทำงานนั้นให้ผู้รับคำสั่งทราบ โดยไม่แสดงอารมณ์ฉุนเฉียว
ข้อควรระวังในการสั่งงาน
         ในการสั่งงานที่ดี พึงระวังและพยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรมการสั่งงานดังต่อไปนี้
1.    สั่งงานขณะโกรธ เพราะจะเป็นการสั่งตามอารมณ์ ขาดหลักการจูงใจในการสั่งงาน
2.     โทษผู้ปฏิบัติงาน ผู้สั่งงานมักจะคิดว่าตนเองสั่งได้ดีแล้ว ผู้ปฏิบัติงานผิดเองที่ไม่เข้าใจคำสั่ง
3.     ชื่นชมบางคน โดยที่ชอบสั่งเฉพาะคนที่เห็นว่าใช้ง่าย มีความคล่องตัวสูง หรือมีอคติกับผู้ใต้บังคับ
บัญชาบางคน
4.     สั่งงานหลายเรื่องในขณะเดียวกัน เนื่องมาจากงานเร่ง หรือมีงานค้างที่ยังไม่สั่งก่อนนี้
5.     ขาดการวิเคราะห์ให้รอบคอบก่อนการสั่งงาน คือคิดอะไรได้ก็สั่งไปเลย การสั่งแบบนี้จะมีการ
เปลี่ยนแปลงคำสั่งอยู่บ่อยครั้ง
6.     คำสั่งผิดๆถูกๆ บางครั้งผู้สั่งงานเองยังไม่เข้าใจในเรื่องที่จะสั่งงานดีพอ ทำให้การสั่งผิดบ้าง
ถูกบ้าง หรือต้องเปลี่ยนคำสั่งบ่อยๆ
ประเภทของการสั่งงาน
      การสั่งงานสามารถจำแนกออกได้เป็น 3 ประเภทที่สำคัญ ดังต่อไปนี้คือ
1.     การสั่งงานโดยตรง มักใช้ในกรณีดังต่อไปนี้
      -     มีเหตุฉุกเฉิน      
      -     เมื่อต้องการให้มีการควบคุมอย่างเข้มงวดกวดขัน
      -     เมื่อต้องปฏิบัติเป็นการฉับพลัน
2.     การสั่งงานโดยวิธีขอร้อง มักใช้ในกรณีดังต่อไปนี้
      -     ในงานปกติ
      -     เมื่อมอบหมายงานให้เขาทำโดยใช้ดุลยพินิจเองบ้าง
3.     การสั่งงานโดยให้การเสนอแนะ มักใช้ในกรณีดังต่อไปนี้
      -     ส่งเสริมความคิดริเริ่ม
      -     ใช้กับคนรู้งานดีในหน้าที่ดีอยู่แล้ว
      -     ใช้กับคนที่มีความรู้สึกรับผิดชอบต่อหน้าที่ดีอยู่แล้ว
วิธีการวินิจฉัยสั่งงาน
      วิธีการวินิจฉัยสั่งงานที่ผู้บริหารองค์กร ธุรกิจควรยึดถือไว้เป็นแนวทางในการปฏิบัติมี 3 ประการที่สำคัญด้วยกันคือ
1.     การจูงใจ (Motivation) เป็นวิธีการกระตุ้นหรือผลักดันให้ผู้ใต้บังคับบัญชามีความพึงพอใจในการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมาย โดยมีแนวทางดังนี้
      1.1. เลือกจังหวะเวลาในการสั่งงานที่เหมาะสมกับสถานการณ์ พร้อมอธิบายลักษณะงานให้ชัดเจน
      1.2. การสั่งงานแต่ละครั้งควรใช้คำพูดที่สุภาพมีลักษณะเป็นการขอร้องมากกว่าเป็นการใช้อำนาจบังคับ
      1.3. มอบความไว้วางใจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยการให้ความรับผิดชอบในหน่วยงาน ร่วมตัดสินใจ และร่วมออกความคิดเห็นเกี่ยวกับงานที่ทำ
      1.4. ให้รางวัลด้วยการจ่ายผลตอบแทนโดยเน้นผลงานรวม ซึ่งการจ่ายผลตอบแทนจะต้องเน้นเอาผลงานเป็นหลัก ไม่ใช่ใช้ความรู้สึกหรือดุลยพินิจเหมือนอดีต การจ่ายผลตอบแทนควรจะเน้นหลักการจ่ายที่ไม่สร้างปัญหาระยะยาว เช่น พนักงานทำงานให้เราดีเพียงหนึ่งปี (รอบปีที่ผ่านมา) ควรจะจ่ายผลตอบแทนที่ไม่ผูกพันระยะยาว เช่น จ่ายเป็นโบนัส เงินจูงใจ ฯลฯ ไม่ใช่จ่ายให้โดยการขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงาน เพราะถ้าขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานที่มีผลงานดีในปีนี้ องค์กรจะมั่นใจได้อย่างไรว่าปีต่อๆไปผลงานของพนักงานที่ได้รับการปรับขึ้นเงินเดือนสูงๆ จะยังคงทำงานดีเหมือนปีที่ผ่านมา การจ่ายผลตอบแทนอาจจะจ่ายโดยพิจารณาจากปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น ผลงานขององค์กร ผลงานของหน่วยงาน และผลงานของของบุคคลร่วมกัน
                โดยมีแนวทางในการกำหนดค่าตอบแทน ที่สำคัญดังต่อไปนี้
            1)   กำหนดระเบียบปฏิบัติ เกี่ยวกับการดำเนินการบริหารค่าจ้างเงินเดือน
            2)   ทบทวนประเมินผลการปฏิบัติงาน(performance review) เป็นการติดตามพิจารณาผลการปฏิบัติงานของพนักงานตำแหน่งต่าง ๆ ที่ต้องทำเป็นประจำ เพื่อจะให้ทราบว่า มาตรฐานผลงาน ที่พนักงานต่าง ๆ ตามตำแหน่ง และตามอัตราการจ่ายที่ควรทำได้ ควรจะเป็นเท่าใด เพื่อให้มาตรฐานที่ใช้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมเสมอ และขณะเดียวกันก็เพื่อให้ทราบว่า ระบบการจ่ายค่าตอบแทนมีความสัมพันธ์กับผลงานถูกต้องเพียงใด
            3)   พิจารณากำหนดค่าจ้างเงินเดือนให้กับพนักงานแต่ละคน ให้แตกต่างกันไปตามความสามารถที่พิจารณาจากแต่ละคน ที่ทำได้สูงหรือต่ำกว่ามาตรฐานผลงานที่ได้กำหนดไว้ ทั้งนี้เพื่อกำหนดค่าจ้างให้แตกต่างกันออกไปเป็นเฉพาะกรณี โดยยึดถือและอ้างอิงโครงสร้างอัตราค่าจ้างเงินเดือนเป็นหลัก
2.     การติดต่อสื่อสาร (Communication) คือการที่ฝ่ายหนึ่งแสดงออกเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของตนเองที่ต้องการให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ ซึ่งจะเห็นว่าการติดต่อสื่อสารจะต้องมีผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่สองฝ่าย คือฝ่ายส่งสาร และฝ่ายรับสาร การติดต่อสื่อสารเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายส่งสารมีความในใจหรือความนึกคิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องการให้ผู้ที่เป็นฝ่ายรับสารได้ทราบความนึกคิดนั้น จึงแสดงออกให้ฝ่ายรับสารเห็น เช่นพูดให้ฝ่ายรับสารได้ยิน หรือแสดงท่าทางให้ฝ่ายรับสารเห็น และเมื่อฝ่ายรับสารได้ยินคำพูดหรือได้เห็นท่าทางของฝ่ายส่งสาร ฝ่ายรับสารก็เข้าใจความหมายที่ฝ่ายส่งสารต้องการให้เข้าใจ จะเห็นว่าแม้จะมีคนพูด แต่ถ้าไม่มีคนฟังหรือคนฟังฟังแล้วไม่เข้าใจตามที่ผู้พูดต้องการให้เข้าใจ ก็ยังไม่ถือว่าได้มีการติดต่อสื่อสารเกิดขึ้น เป็นเพียงขั้นพยายามติดต่อเท่านั้นเอง การติดต่อสื่อสารภายในองค์กร ธุรกิจมีหลายรูปแบบด้วยกัน เช่น การสั่งงาน การประกาศ การปรึกษางานการรายงาน ฯลฯ หากระบบการติดต่อสื่อสารดี การบริหารงานขององค์กร ธุรกิจนั้นก็จะดีตามไปด้วย ตรงกันข้ามถ้าการติดต่อสื่อสารไม่ดีงานก็จะล่าช้าและเกิดความผิดพลาดสูง ตัวอย่างเช่น การสั่งงานในรูปแบบการออกคำสั่ง หากผู้ที่รับคำสั่งเข้าใจคำสั่งถูกต้องตรงกับความต้องการของผู้สั่ง งานก็จะบรรลุผลสำเร็จตามที่ผู้สั่งงานต้องการ แต่ถ้าผู้รับคำสั่งเข้าใจคำสั่งคลาดเคลื่อนไปจากความต้องการของผู้สั่ง ก็จะทำให้เกิดการทำงานผิดวัตถุประสงค์ของผู้สั่ง
การติดต่อสื่อสารที่ดี คือผู้รับเข้าใจความหมายของสัญลักษณ์ตรงตามความต้องการของผู้สั่ง ฉะนั้นการสื่อสารไม่ว่าจะด้วยวิธีพูด หรือเขียน หรือแสดงท่าทาง จะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังอย่าให้ฝ่ายรับสารตีความหมายคาดเคลื่อนไปจากความต้องการของฝ่ายผู้ส่งสารเป็นอันขาด เมื่อพิจารณากระบวนการติดต่อสื่อสารอย่างผิวเผินจะเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาและง่ายเพราะในชีวิตประจำวันของแต่ละคนต่างก็ต้องทำการติดต่อสื่อสาร ทั้งในฐานะผู้ส่งสารและผู้รับสารวันละหลายๆครั้ง แต่ถ้าได้พิจารณาโดยละเอียดแล้วจะเห็นว่าการติดต่อสื่อสารไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด เพราะเมื่อพูด หรือเขียน หรือแสดงท่าทางออกไป ผู้ส่งสารไม่ได้ติดตามผลว่าผู้รับสารเข้าใจตรงตามที่ผู้ส่งสารต้องการหรือไม่ ในการพูดคุยกันธรรมดาการเข้าใจผิดของผู้ฟังอาจจะไม่บังเกิดผลเสียหาย แต่การติดต่อสื่อสารงานภายในองค์กร ธุรกิจ เช่น การสั่งงาน การประกาศ การรายงาน หากผู้รับสารตีความหมายผิดไปจากความต้องการของผู้ส่งสาร ก็จะเกิดความเสียหายต่อการบริหารงานได้เป็นอย่างมาก ดังนั้นการติดต่อสื่อสารในองค์กร ธุรกิจไม่ว่าจะเป็นการพูด การเขียน การแสดงท่าทาง หรืออาการจึงต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง
        จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าการติดต่อสื่อสารเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในองค์กร ธุรกิจเพราะถ้าระบบการทำงานมีการสื่อสารที่ดีก็จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้บริหารสามารถติดต่อหรือมอบหมายงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทุกหน่วยงานได้สะดวกและรวดเร็ว ทำให้การปฏิบัติงานในองค์กร ธุรกิจมีประสิทธิภาพ
3.     บุคลิกภาพผู้นำ บุคลิกภาพผู้นำนับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้ผู้อื่นหรือผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดความศรัทธาเชื่อถือและให้ความไว้วางใจ โดยบุคลิกลักษณะของมนุษย์เรานี้ สามารถจำแนกออกได้เป็น 4 ประเภทด้วยกันคือ
1. สติปัญญา (Intelligence) คือความสามารถในการที่จะศึกษาและเข้าใจได้จากประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เคยผ่านมา อันนี้เป็นบุคลิกลักษณะที่ผู้นำควรมีไว้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว เพราะนอกจากจะทำให้เกิดคุณลักษณะอย่างอื่น ๆ แก่ตนเองแล้ว ยังสามารถใช้สติปัญญานี้วินิจฉัยปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างเฉียบแหลมและทันท่วงทีอีกด้วย
2. อุปนิสัย (Character) คือแบบลักษณะของบุคคลซึ่งแสดงให้เห็นทางอาการกริยา ซึ่งคุณสมบัติอันนี้เป็นนิสัยประจำตัวของมนุษย์เรานั่นเอง อุปนิสัยประมาณ 5 - 8 เปอร์เซ็นต์ได้มาจากธรรมชาติคือได้จากการสืบสายโลหิต นอกจากนั้นได้รับจากการฝึกฝนอบรม
      3.  อารมณ์ (Temperament) คือกรอบของความรู้สึกนึกคิดและความต้องการตามธรรมชาติ อารมณ์จึง
เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจจากประสาททั้ง 5 คือ รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส โดยที่ประสาททั้ง 5 นี้จะส่งอาการต่าง ๆ ที่รับมาไปยังอารมณ์ ต่อจากนั้นอารมณ์ก็จะส่งอาการไปบังคับ หรือควบคุมจิตใจให้ทำอะไรตามความประสงค์ ฉะนั้นอารมณ์จึงมีความสำคัญต่อการเป็นผู้นำมาก เพราะเกี่ยวกับการบังคับตนเอง เมื่อเราสามารถบังคับตัวเองได้แล้ว จึงสามารถบังคับหรือควบคุมผู้อื่นหรือผู้ใต้บังคับบัญชาได้
      4. ร่างกาย (Physic) คือลักษณะการสร้าง หรือรูปร่างที่สร้างขึ้นของมนุษย์ เช่น สูง ต่ำ ดำ ขาว เป็นต้น ร่างกายมีความสัมพันธ์กับอารมณ์มาก เพราะมันมีความรู้สึกได้ง่าย และย่อมถูกอารมณ์บังคับได้ด้วย ฉะนั้นร่างกายจึงต้องดีพร้อม และมีสุขภาพสมบูรณ์จึงจะนับว่าเป็นผู้นำที่ดีได้ ยิ่งกว่านั้นภาวะของร่างกายที่ดีย่อมแสดงออกซึ่งบุคลิกลักษณะของการเป็นผู้นำให้เด่นชัดเจนขึ้นมาอีก
ซึ่งโดยทั่วไปในการที่จะเป็นผู้นำที่ดีนั้น ควรจะต้องมีพร้อมทั้ง 4 ประการ คือ มีสติปัญญาดี มีอุปนิสัย
ดี มีอารมณ์หรือกรอบของความรู้สึกนึกคิดดี ตลอดจนมีร่างกายแข็งแรงและสมบูรณ์ดี ซึ่งมนุษย์เราสามารถสร้างบุคลิกลักษณะเหล่านี้ขึ้นมาได้
การสั่งงานให้มีประสิทธิภาพ   
      การสั่งงานที่ดีและมีประสิทธิภาพจะต้องเป็นการติดต่อสื่อสารสองทางระหว่างผู้ออกคำสั่งและผู้รับคำสั่ง คำสั่ง ระเบียบ และข้อบังคับย่อมใช้เป็นแนวทางในการออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาถือปฏิบัติ การสั่งงานจะต้องเป็นไปภายในขอบข่ายแห่งคำสั่ง ระเบียบ และข้อปฏิบัตินั้นๆ ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงจะสั่งการอย่างกว้างในด้านนโยบายและวัตถุประสงค์ขององค์กร แต่หัวหน้างานจะต้องสั่งการโดยอาศัยวัตถุประสงค์ของหน่วยงานเป็นแนวทาง การสั่งงานอาจแตกต่างกันแล้วแต่เหตุการณ์ หรือแล้วแต่ผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคน บางครั้งอาจต้องการความรวดเร็วฉับพลันในการปฏิบัติ แต่บางครั้งเพียงให้ข้อเสนอ แนะนำที่ควรปฏิบัติแก่ผู้รับคำสั่งก็อาจเป็นการเพียงพอแล้วก็ได้
บทสรุป
      การสั่งงานเป็นภาระหน้าที่ของผู้บริหารทุกระดับที่จะต้องเกี่ยวข้องกับการสั่งบุคลากรภายในองค์กรให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารจะต้องวิเคราะห์ข้อมูลของปัญหาเฉพาะหน้าต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้ววินิจฉัยสั่งงานไปยังผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตนให้ทราบถึงแนวทางสำหรับการแก้ไขข้อบกพร่องในการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ
ซึ่งการสั่งงานที่ดีและมีประสิทธิภาพจะต้องเป็นการติดต่อสื่อสารสองทางระหว่างผู้ออกคำสั่ง และผู้รับคำสั่ง การสั่งงานจะต้องเป็นไปภายในขอบข่ายแห่งคำสั่ง ระเบียบ และข้อปฏิบัติขององค์กร ธุรกิจ ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงจะสั่งการอย่างกว้างในด้านนโยบายและวัตถุประสงค์ขององค์กร แต่หัวหน้างานจะต้องสั่งการโดยอาศัยวัตถุประสงค์ของหน่วยงานเป็นแนวทาง การสั่งงานอาจแตกต่างกันแล้วแต่เหตุการณ์ หรือแล้วแต่ผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคนบางครั้งอาจต้องการความรวดเร็วฉับพลันในการปฏิบัติ แต่บางครั้งเพียงให้ข้อเสนอ แนะนำที่ควรปฏิบัติแก่ผู้รับคำสั่งก็อาจเป็นการเพียงพอแล้วก็ได้ และการสั่งงานเป็นลายลักษณ์อักษร ควรใช้ในกรณี เมื่อต้องการจะส่งคำสั่งนั้นไปให้อีกฝ่ายหนึ่งรับทราบ เมื่อผู้รับคำสั่งเป็นคนเข้าใจช้า หรือลืมเก่ง เมื่อคำสั่งนั้นมีรายละเอียดปลีกย่อย หรือในคำสั่งนั้นมีตัวเลขซึ่งทำให้จำได้ยาก เมื่อต้องการจะให้ผู้รับคำสั่งเป็นผู้รับผิดชอบโดยเคร่งครัด เมื่อคำสั่งให้ปฏิบัติงานนั้นมีความสำคัญและเป็นการจำเป็นที่จะให้มีการปฏิบัติตามคำสั่งนั้นอย่างถูกต้องทุกประการ
การสั่งงานอย่างมีประสิทธิภาพของผู้บริหารทุกระดับในองค์กร ธุรกิจ จะทำให้ผู้รับคำสั่งเข้าใจตามคำสั่งถูกต้องและปฏิบัติตามคำสั่งด้วยความเต็มใจ งานที่สั่งไปนั้นสำเร็จลุล่วงด้วยดี  นำมาซึ่งการลดข้อผิดพลาดในการดำเนินกระบวนการทางธุรกิจ และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันขององค์กร ธุรกิจ

อ้างอิง สนั่น เถาชารี, “กลยุทธ์การสั่งงานให้ได้ผล”, Industrial World นิตยสารเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย magazine 2008, ISSUE 2.

1 ความคิดเห็น:

  1. FIND OUT How You WILL Master Your Habits And Reprogram The Subconscious Brain To Get Any Result You Want In Your Personal Growing and Fulfillment!

    Introducing... Procrastinating Your Procrastination!

    ตอบลบ

ความคิดเห็นตรงนี้ครับ !!!!!!!!!!